วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

โรคติดอินเทอร์เน็ต (Webaholic)

โรคติดอินเทอร์เน็ต เป็นอาการทางจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งนักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S Youngได้ศึกษา

และวิเคราะห์ไว้ว่า บุคคลใดที่มีอาการดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 ประการ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แสดงว่าเป็น
 
โรคดังกล่าว


อาการติดอินเทอร์เน็ต
1.                  รู้สึกหมกมุ่นกับอินเทอร์เน็ต แม้ในเวลาไม่ได้ใช้งาน
2.                  มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น
3.                  ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตได้
4.                  รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้
5.                  ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใช้อินเทอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
6.                  หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตของตัวเอง

รูปแบบและลักษณะของการติดอินเทอร์เน็ต
1.            Cyber Sexual Addiction : การติดเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศ เช่น การดูเว็บโป๊
2.            Cyber-Relationship Addiction : การคบเพื่อนจากห้องแชตรูมหรือ
         เว็บบอร์ด  โดยนำมาทดแทนเพื่อนหรือครอบครัวในชีวิตจริง
3.            Net Compulsion : การติดการพนัน, การประมูลสินค้า, การซื้อ-ขายทางอินเทอร์เน็ต
4.            Information Overload : การติดการรับข้อมูลข่าวสาร จนไม่สามารถยับยั้งได้
5.            Computer Addition : การใช้คอมพิวเตอร์ ในลักษณะที่ไม่สามารถยับยั้งใจได้ เช่น การเล่นเกมออนไลน์

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

สังคมไทยแบบผิดๆ

ชาวเน็ตสับเละ! วู้ดดี้สัมภาษณ์ จ๊ะ คันหู ไม่ให้เกียรติแขกรับเชิญ
Mthai news: กลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ หลังจากที่รายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย ออกอากาศคืนวันที่ 4 กันยายน โดยมีแขกรับเชิญ คือ “น้องจ๊ะ คันหู” ศิลปินสาวที่โด่งดังจากคลิปในยูทูป ด้วยท่วงท่าการเต้นที่เย้ายวน เพลงคันหู จนมียอดผู้เข้าชมกว่า 8 ล้านวิว และนั่นเองกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างในโลกอินเตอร์เน็ต
ด้วย คำถามที่รุนแรง และตรง ตามสไตล์ วู้ดดี้ ทำให้ผู้ชมต่างไม่พอใจกับการไม่ให้เกียรติแขกรับเชิญ ในการตั้งคำถามที่รุนแรง ราวกับนำแขกรับเชิญมาด่ากลางรายการ
ผู้ ใช้ในเว็บไซต์พันทิปเอง ซึ่งเป็นแหล่งพูดคุยของชาวอินเตอร์เน็ต ถึงกับตั้งกระทู้ประณาม และกระทู้แนะนำหลายกระทู้ กลายเป็นกระแสโจมตี วู้ดดี้ แต่ให้กำลังใจ น้องจ๊ะ

หลายคนให้ความเห็นว่า คำถามที่ตั้งขึ้นมาอย่าง เป็นศิลปะชั้นต่ำ? เป็นโสเภณี ขายบริการหรือไม่.. โดยอ้างว่าเป็นเสียงจากประชาชนทั่วประเทศนั้น ไม่สมควรนำมาถามกับแขกรับเชิญซึ่งเป็นผู้หญิง ที่ทำงานโดยสุจริต ขณะที่ น้องจ๊ะ เธอก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่ด้วย อีกทั้งกิริยาท่าทางในการพูดคุยของพิธีกรนั้น ดูไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลยแม้แต่นิดเดียว
ขณะที่บางส่วนก็บอกว่า ในเมื่อเธอเลือกที่จะเดินทางสายนี้ ก็ต้องยอมรับกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆได้ เช่นเดียวกัน
ผมยังมีคลิปให้ดูอีกน่ะครับ
คลิ๊กที่ลิ้งค์นี้น่ะครับhttp://youtu.be/ikFsZi3PeLo

เคล็ด(ไม่)ลับหน้าใส

หน้าใสด้วยแอปเปิ้ล

วิธีการบำรุงหน้าให้สวยใส อมชมพู ด้วยแอปเปิ้ล

นำ แอปเปิ้ลปอกเปลือก แล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นล้างหน้าตามปกติ จากนั้นเรานำเนื้อแอปปิ้ลที่ปั่นละเอียดที่ได้ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ
ทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น นอกจากนี้ยังช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป ยังเป็นการช่วยบำรุงความชุ่มชื่่นให้ใบหน้าคุณผู้หญิงดูสดใสเปล่งปลั่งด้วย


ลองนำไปใช้ดูได้ วิธีง่ายๆ แค่นี้หน้าก็สวยใส อมชมพูแล้ว

หน้าใสด้วยแอปเปิ้ล

- เมื่อรู้สึกตัวว่ามีผิวหน้าอ่อนโรยหน้าไม่ใสอยากให้กลับมาดูสดชื่นหน้า ใส ปิ๊งๆ ก็ให้นำเอาเนื้อแอปเปิ้ลสดๆบดหรือปั่นให้ละเอียดแล้วนำมานวดให้ทั่วใบหน้า และผิวหนังบริเวณลำคอ ทำเป็นประจำอาจจะอิาทิตย์ละ 2-3 ครั้งครั้งละ 15-20นาที หรือทำจนกว่ารู้สึกว่าผิวหน้าใสและสดชื่นขึ้น

- สำหรับสาวผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาผิวแต่อย่างใดแต่อยากให้หน้าใสสด ชื่น ก็ให้นำแอปเปิ้ลมาปอกเปลือกก่อนจากนั้นก็นำมาบดแล้วปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาผสมกับน้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันเมล็ดทานตะวัน ( หาซื้อทั่วไป) ประมาน 1 ช้อนชา ตามด้วยแป้งข้าวโพดอีก 1 ช้อนชา แล้วทาลงให้ทั่วใบหน้าเว้นขอบตา ทิ้งไว้ประมาน 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เพียงแค่นี้ก็ได้บำรุงให้หน้าใส

- สำหรับสาวผู้มีผิวพรรณร่วงโรยตามกาลเวลาหรือก่อนเวลาอันควร แล้วอยากรีบบำรุงให้กลับมาเป็นสาวหน้าใสเหมือนเดิมก็ให้ พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล อบ หรือเอาแอปเปิ้ลไปต้มแล้วบดให้ละเอียดนำไปผสมกับน้ำมันมะกอกและน้ำผึ้งหนึ่ง ช้องชา เพื่อทำให้ผิวยึดหยุ่นและชะลอกระบวนการร่วงโรยของผิว

- สำหรับสาวเป็นสิวหรือมีรอยแผลเป็นจากสิวแล้วอยากกลับมาเป็นสาวหน้า ใสเหมือน เดิมก็ให้นำแอปเปิ้ลสีเขียวมาบดผสมกับน้ำผึ้งแท้ๆ ประมาน 1 ช้อนโต๊ะคนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า อาจจะทาพอกเน้นบริเวณที่มีรอยแผลเป็น ทิ้งไว้ประมาน 15-20 นาทีแล้วล้างออก

อยากสาวใส ต้องดูแลกันหน่อย



หน้าขาวใส อมชมพู สูตรโบราณ ด้วยขิง
ทราบไหมว่า ขิงแก่ นี่แหละที่สามารถทำให้ผิว
หน้าของเราใสอมชมพูได้ นำขิงแก่มาฝานบางๆ
ตามความยาว นำขิงมาวางไว้ตรงบริเวณที่เรา
ต้องการให้หน้ามีสีชมพู ทิ้งไว้ 2 นาที ผิวจะรู้
สึกร้อนๆ ตึงๆ แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็น จะ
ช่วยกระชับรูขุมขนด้วยค่ะ

(วันนี้เอาแค่นี้ก่อนน่ะครับ แล้วยังมีเคล็ดลับดีๆอีกมากมายให้แฟนคลับ แดเนียล ได้ติดตามกันต่อไป)

ทุเรียนกวน

กระบวนการทำงานของการผลิตทุเรียนกวน






          บทความนี้คณะผู้จัดทำได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง การทำงานของกระบวนการผลิตทุเรียนกวน โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญคือ การทำงานของกระบวนการผลิตทุเรียนกวนโดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านและ การทำงานของกระบวนการผลิตทุเรียนกวนโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
โดยได้แยกหัวข้อสำคัญของสองเรื่องหลักให้มี วัสดุอุปกรณ์ ขั้นตอนการทำ และสรุปขั้นตอนการทำของแต่ละหัวข้อหลัก และสุดท้ายก็มีข้อเปรียบเทียบขอแตกต่างของทั้งสองหัวข้อ ซึ่งข้าพเจ้าคณะผู้จัดทำหวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านผู้สนใจเป็น อย่างยิ่ง

           หากบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใด กระผมผู้จัดทำพร้อมที่จะรับฟังคำ แนะนำ ติชม จากผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง

                                                                                      

1. การทำงานของกระบวนการผลิตทุเรียนกวน โดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน
• วัสดุอุปกรณ์ในการทำทุเรียนกวน
1. กะทะกวน
2. เตาแก๊ส หรือถ่าน
3. ช้อนสำหรับขูดเนื้อทุเรียน
4. ไม้พายสำหรับกวน
5. ตาชั่ง
• ขั้นตอนการทำทุเรียนกวน
1. แกะเนื้อทุเรียนสุกออกจากเปลือกและเมล็ด

2. ขูดแยกเมล็ดทุเรียนออกจากเนื้อทุเรียน

3. ชั่งน้ำหนักเนื้อทุเรียน

4. ใส่ในกระทะเหล็กหรือสเตนเลสใช้ไฟปานกลางกวนด้วยไม้พายจนเนื้อทุเรียนสุก

5. ใส่น้ำตาลทรายกวนต่อไปจนเริ่มเหนียว

6. พอจับตัวเป็นก้อน ลดไฟให้อ่อน กวนต่อจนเหนียวเริ่มมัน จึงจะถือว่าใช้ได้

หมายเหตุ เนื้อทุเรียน 10 ก.ก. ใส่น้ำตาลทราย 2 ก.ก.
• สรุปการกวนทุเรียน ,ระยะเวลาการทำงาน, ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
        ทุเรียนเป็นผลไม้ที่นิยมนำมากวน เพราะรสชาติหวาน มัน กลิ่นหอม เนื้อละเอียดเหนียว สีเหลืองสวย ไม่ดำคล้ำ ซึ่งใช้เวลาในการกวนโดยวิธีแบบตามภูมิปัญญาชาวบ้านหรือเรียกอีกอย่างหนึ่ง ว่าการใช้แรงงานคนนั้นใช้เวลากวนประมาณ 4 - 5 ชั่วโมง ทุเรียนก็จะมีสีเหลือง เหนียว มันหอม หวานและดูน่ารับประทาน และมีการใช้จ่ายในการทำทุเรียนกวนดังต่อไปนี้
1. เนื้อทุเรียนสุก 10 ก.ก. เป็นเงิน 180 บาท
2. น้ำตาลทราย 2 ก.ก. เป็นเงิน 28 บาท
* บางครั้งอาจต้องบวกค่าจ้างกวนอีก ในที่นี้ไม่มีการบวก

• ที่มา บทความทุเรียนกวนจาก

1. อ.จรรยา คนซื่อ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนสวนศรีวิทยา จ.ชุมพร
2. http://dnfe5.nfe.go.th/ilp/occupation/45306/453.1.html
3. http://dnfe5.nfe.go.th/ilp/occupation/45306/453.2.html
4. http://dnfe5.nfe.go.th/ilp/occupation/45306/453.3.html


2. วิเคราะห์กระบวนการทำทุเรียนกวน

• ความสูญเปล่าของขั้นตอนการผลิตทุเรียนกวน

             ในการกวนทุเรียนตามภูมิปัญญาชาวบ้านให้เกิดรสชาติหวาน มัน กลิ่นหอม เนื้อละเอียดเหนียว มีสีเหลืองสวย และไม่มีสีดำคล้ำ ซึ่งนั้นต้องใช้เวลากวนกับแรงงานคนเป็นเวลานานและต่อเนื่องประมาณ 4 - 5 ชั่วโมง ทุเรียนก็จึงจะมีสีเหลือง เหนียว มันหอม หวานและดูน่ารับประทาน และแต่ละครั้งขณะที่ได้กวนทุเรียนมีความสูญเปล่าดังต่อไปนี้
1. เสียเวลาในการทำงานอื่นๆ เนื่องจากใช้เวลานาน
2. ในการกวนทุเรียนแต่ละครั้งต้องใช้แรงงานคนที่ต้องค่อยดู
ไม่ให้เนื้อทุเรียนไหม้ไฟมีสีดำคล้ำ
3. ในขณะที่กวนต้องกวนเป็นเวลานานผู้กวนจึงเกิดอาการเมื่อยล้าได้
4. ในยามหน้าทุเรียนล้นตลาดจะไม่สามารถกวนทุเรียนได้หมดและต่อเนื่อง

• การวางแผนการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่

         ในเมื่อการกวนทุเรียนในแต่ละครั้งมีความสูญเปล่า มากมายดังเหตุผลข้างต้นแล้ว ดังนันจึงต้องนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่การ กวนทุเรียนให้มากขึ้น
ดังนั้นเพื่อให้ผู้ใช้จะได้เกิดความสะดวกสะบายและไม่เกิดการสูญเปล่าจึงมี วิธีการนำเอาเครื่องกวนทุเรียนซึ่งถือว่าเป็นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ กับภูมิปัญญาชาวบ้านได้อย่างดีและยังมีประโยชน์แก่ผู้ที่นำมาใช้อีกด้วย


3. การปรับปรุงพัฒนาจากแผนงานโดยใช้เทคโนโลยี่สมัยใหม่ เข้ามาประยุกต์ใช้กับการผลิตทุเรียนกวน

• วัสดุอุปกรณ์ในการทำทุเรียนกวน
1. เครื่องกวน
2. เตาแก๊ส หรือถ่าน
3. ช้อนสำหรับขูดเนื้อทุเรียน
4. ตาชั่ง
• ขั้นตอนการทำทุเรียนกวน
1. แกะเนื้อทุเรียนสุกออกจากเปลือกและเมล็ด

2. ขูดแยกเมล็ดทุเรียนออกจากเนื้อทุเรียน

3. ชั่งน้ำหนักเนื้อทุเรียน

4. ใส่ในเครื่องกวนใช้ไฟปานกลางจนเนื้อทุเรียนสุก

5. ใส่น้ำตาลทรายกวนต่อไปจนเริ่มเหนียว

6. พอจับตัวเป็นก้อน ลดไฟให้อ่อน กวนต่อจนเหนียวเริ่มมัน จึงจะถือว่าใช้ได้
หมายเหตุ เนื้อทุเรียน 10 ก.ก. ใส่น้ำตาลทราย 2 ก.ก.
• สรุปการกวนทุเรียน, ระยะเวลาการทำงาน, ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
         ทุเรียนเป็นผลไม้ที่นิยมนำมากวน เพราะรสชาติหวาน มัน กลิ่นหอม เนื้อละเอียดเหนียว สีเหลืองสวย ไม่ดำคล้ำ ซึ่งใช้เวลาในการกวนโดยวิธีตามแผนการปรับปรุงพัฒนาโดยการนำเทคโนโลยีสมัย ใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้นั้นใช้เวลากวนประมาณ 3 ชั่วโมง ทุเรียนก็จะมีสีเหลือง เหนียว มันหอม หวานและดูน่ารับประทาน และมีการใช้จ่ายในการทำทุเรียนกวนดังต่อไปนี้
1. เนื้อทุเรียนสุก 10 ก.ก. เป็นเงิน 180 บาท
2. น้ำตาลทราย 2 ก.ก. เป็นเงิน 28 บาท
* ในที่นี้หากมีการบวกค่าจ้างกวนก็จะช่วยลดรายจ่ายตรงนี้ไปได้

• ที่มา บทความทุเรียนกวนจาก
1. http://dnfe5.nfe.go.th/ilp/occupation/45306/453.2.html
2. http://rayong.doae.go.th/data/durean.htm
3. http://blog.hunsa.com/asunajan/blog/14488
4. http://kanchanapisek.or.th/kp8/chu/chu501b.html
5. http://www.sisaket.go.th/saranaroo/turian.html
6. http://3w.doae.go.th/webboard/view.asp?room=6&ID=2071

4. เปรียบเทียบผลแตกต่างของกระบวนการผลิตระหว่างการผลิตโดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่

         ในการกวนทุเรียนตามภูมิปัญญาชาวบ้านและตามที่มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อทุเรียนเกิดรสชาติหวาน มัน กลิ่นหอม เนื้อละเอียดเหนียว มีสีเหลืองสวย และไม่มีสีดำคล้ำ นั้นมีข้อเปรียบเทียบข้อแตกต่างของกระบวนการผลิตดังต่อไปนี้
ข้อเปรียบเทียบ
ภูมิปัญญาชาวบ้าน /เทคโนโนโลยีสมัยใหม่
ใช้เวลาในการกวนนาน /ใช้เวลาในการกวนน้อยกว่า
ต้องใช้คนในการกวนมาก /ใช้คนในการกวนน้อยกว่า
ต้องนั่งกวนไปเรื่อยๆ /ไม่ต้องนั่งกวน
ต้องคอยระวังไม่ให้ไหม้ดำ /ไม่ต้องคอยระวังไม่ให้ไหม้ดำ
ไม่สามารถนำเวลาไปทำอย่างอื่นได้ /สามารถนำเวลาไปทำอย่างอื่นได้
ต้องกวนครั้งละน้อยๆ /สามารถกวนครั้งละมากๆได้
ไม่สามารถกวนต่อเนื่องได้ /สามารถกวนต่อเนื่องได้

         จากบทความข้างต้นนี้ ชี้ให้เห็นว่าเมื่อนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการกวนทุเรียนแล้ว นั้นสามารถช่วยให้ผู้กวนสะดวกสะบายและยังช่วยเพิ่มประสิทธิ์ภาพในการกวนให้ เร็วขึ้น ช่วยลดปริมาณคนที่จะกวน และยังสามารถกวนทุเรียนต่อเนื่องได้ ได้เร็วกว่า ถึง 1 – 2 ชั่วโมง ซึ่งใช้เวลากวนเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น ทุเรียนกวนที่ได้ก็จึงจะมีสีเหลือง เหนียว มันหอม หวานและดูน่ารับประทาน

ลิเกฮูลู




ที่มา

มีผู้ให้ที่มาของดิเกฮูลูเอาไว้หลายสำนวน ในที่นี้จะขอหยิบยกออกมา ๒ สำนวน กล่าวคือ หนึ่ง ตามสำนวนที่รับรู้กันโดยทั่วไป มีผู้รู้บางท่านได้ศึกษาไว้ว่าดิเก(Dikir) มีรากศัพท์มาจากคำว่าซี เกร์ ซึ่งเป็นภาษาอาหรับ หมายถึงการอ่านทำนองเสนาะ ส่วนคำว่าฮูลู แปลว่าใต้หรือทิศใต้ รวมความแล้วหมายถึงการขับบทกลอนเป็นทำนองเสนาะจากทางใต้๑ ท่านผู้รู้ยังได้กล่าวไว้อีกว่า ดิเกฮูลูน่าจะเกิดขึ้นเริ่มแรกที่อำเภอรามัน ซึ่งไม่ทราบแน่ว่าผู้ริเริ่มนี้คือใคร ข้อสนับสนุนก็คือชาวปัตตานีเรียกคนในอำเภอรามันว่าคนฮูลู ในขณะที่คนมาเลเซียเรียกศิลปะนี้ว่า "ดิเกปารัต" ซึ่งปารัต แปลว่าเหนือ จึงเป็นที่ยืนยันได้ว่า ดิเกฮูลู หรือดิเกปารัตนี้มาจากทางเหนือของมาเลเซียและทางใต้ของปัตตานี๒ ซึ่งก็คือบริเวณอำเภอรามัน จังหวัดยะลา
และสำนวนที่สอง จากการศึกษาของประพนธ์ เรืองณรงค์ ในหนังสือ "บุหงาปัตตานี คติชนไทยมุสลิมชายแดนภาคใต้"๓ คำว่าดิเก หรือลิเก ในพจนานุกรม Kamus Dewan พิมพ์โดยสมาคมภาษาและหนังสือประเทศมาเลเซียเรียกลิเกเป็นดิเกร์เป็นศัพท์ เปอร์เซีย มีสองความหมายคือ เพลงสวดสรรเสริญพระเจ้า ปกติเป็นการขับร้องเนื่องในเทศกาลวันกำเนิดพระนะบี ชาวมุสลิมเรียกงานเมาลิด เรียกการสวดดังกล่าวนี้ว่า "ดิเกเมาลิด"
นอกจากนี้ดิเกยังหมายถึงกลอนเพลงโต้ตอบ นิยมเล่ากันเป็นกลุ่มหรือเป็นคณะ โดยมีไม้ไผ่มาตัดท่อนสั้นแล้วหุ้มกาบไม้ข้างหนึ่งทำให้เกิดเสียงดัง แล้วร้องรำทำเพลงขับแก้กันตามประสาชาวป่า (ว่ากันว่าไม้ไผ่หุ้มกาบไม้นี้ได้กลายเป็นบานอ หรือรือปานา หรือรำมะนาที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้)
ประพนธ์ เรืองณรงค์ ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ดิเกน่าจะมาจากความหมายที่สอง คือกลอนเพลงโต้ตอบ นิยมเล่นกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งเป็นการร้องเพลงลำตัดภาษาอาหรับ ที่เรียกว่า "ซีเกร์มีรฮาแบ" การร้องเป็นภาษาอาหรับ ถึงแม้จะไพเราะแต่คนไม่เข้าใจ จึงนำเอาเนื้อเพลงภาษาพื้นเมือง ซึ่งก็คือภาษายาวีตีเข้ากับรำมะนา จึงกลายเป็นดิเกฮูลูมาตราบเท่าปัจจุบัน
และการแสดงประเภทนี้น่าจะมีขึ้นครั้งแรก ณ ท้องที่เหนือลำน้ำอันเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำปัตตานี ซึ่งชาวบ้านเรียกฮูลู หรือทิศฮูลู (ฝ่ายใต้ลำน้ำเรียกฮิเล) ตรงทิศฮูลูเป็นแหล่งกำเนิดฮูลูนั้น เข้าใจว่าคือท้องที่อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี และอำเภอบันนังสตา อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
ดิเกฮูลูคณะหนึ่งๆ จะมีสมาชิกประมาณ ๑๐ กว่าคน เป็นชายล้วน เป็นผู้ขับร้องต้นเสียง ๑-๓ คน ที่เหลือจะเป็นลูกคู่ และอาจมีนักร้องภายนอกวงมาสมทบร่วมสนุกอีกก็ได้
บทกลอนที่ใช้ขับร้องนั้น เรียกเป็นภาษามลายูท้องถิ่นว่าปันตน หรือปาตง เวลาแสดงใช้ขับกลอนโต้ตอบ ไม่ได้แสดงเป็นเรื่องราวดังเช่นการละเล่นพื้นบ้านอย่างอื่น เช่น มะโย่ง หรือมโนห์รา

การแต่งกาย

การแต่งกายของผู้เล่นดิเกฮูลู สมัยก่อนมักแต่งชุดอย่างชาวบ้านทั่วไปคือ โพกหัว สวมเสื้อคอกลม นุ่งโสร่ง บางครั้งเหน็บขวานไว้ข่มขวัญคู่ต่อสู้ ต่อมามีการแต่งกายแบบเล่นสิละ (ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของชาวใต้) คือนอกจากจะนุ่งกางเกงขายาวธรรมดาเหมือนแต่เดิม ก็นุ่งผ้าโสร่งซอเกตลายสวยสดทับข้างนอกสั้นเหนือเข่าเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง พร้อมกับมีผ้าลือปักคาดสะเอว นอกนั้นก็สวมเสื้อคอกลมมีผ้าโพกศีรษะเหมือนเดิม ปัจจุบันนิยมแต่งกายแบบสมัยนิยม หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละคณะให้มีสีสันสดใสสะดุดตา

เวทีแสดง

จะยกพื้นประมาณ ๑ เมตร เปิดโล่งไม่มีม่าน ไม่มีฉาก ลูกคู่จะขึ้นไปนั่งล้อมวง ร้องรับและตบมือโยกตัวให้เข้ากับจังหวะดนตรี ส่วนผู้ร้องหรือผู้โต้กลอนจะลุกขึ้นยืนข้างๆ วงลูกคู่ ถ้ากรณีมีการประชันกัน แต่ละคณะจะขึ้นไปอยู่บนเวทีด้วยกัน แต่ล้อมวงแยกกันพอสมควร การแสดงก็ผลัดกันร้องทีละรอบทั้งรุกทั้งรับ เป็นที่ครึกครื้นแก่ผู้ชม
ดนตรีดิเกฮูลูประกอบด้วยรำมะนาอย่างน้อย ๒ ใบ ใช้ตีดำเนินจังหวะในการแสดง ฆ้อง ๑ วง เป็นเครื่องกำกับจังหวะ ตีสม่ำเสมอประกอบการแสดง นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบและเป็นที่นิยมกันว่ามีส่วนทำให้ สนุกสนานกันมากยิ่งขึ้น เช่น ขลุ่ย ลูกแซก แต่จังหวะที่ใช้เป็นประเพณีในการเล่นคือ การตบมือ

การแสดง

การแสดงจะเริ่มต้นการแสดงด้วยดนตรีโหมโรงเป็นการเรียกผู้ชมและเร้าอารมณ์ คนดู สมัยก่อนมีการไหว้ครูในกรณีที่มีการประชันกันระหว่างหมู่บ้าน (หรืออาจมีหมอผีของแต่ละฝ่ายปัดรังควานไล่ผีคู่ต่อสู้ก็มี) ปัจจุบันสู้กันด้วยศิลปะหรือคารมอย่างเดียว เมื่อลูกคู่โหมโรงเสร็จ ต่อจากนั้นนักร้องต้นเสียงจะออกมาวาดลวดลายด้วยเพลงในจังหวะต่างๆ ทีละคน เริ่มต้นเนื้อร้องกล่าวถึงความประสงค์ในการเล่น แล้วจึงเข้าสู่เรื่องราวแสดง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องราวจากเหตุการณ์บ้านเมือง ปัญหาท้องถิ่น ความรักของหนุ่มสาว หรือเรื่องตลกโปกฮา
จากการสัมภาษณ์นายหะมะ แบลือแบ หรือแบมะ หัวหน้าคณะการแสดงดิเกฮูลู "มะ ยะหา" เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่บ้านในอำเภอยะหา จังหวัดยะลา ผู้ซึ่งเป็นครูภูมิปัญญาไทย ด้านศิลปกรรม สาขาการแสดงลิเกฮูลู๔ แบมะสันนิษฐานว่าดิเกฮูลูน่าจะมีส่วนเกี่ยวพันหรือถ่ายทอดซึ่งกันและกันกับ การแสดงลำตัดในภาคกลาง เนื่องจากมีการประชันกันทั้งในด้านน้ำเสียงและไหวพริบในการโต้ตอบ
กรณีที่มีการประชัน หรือบางครั้งก็เป็นเรื่องราวกระทบกระแทกเสียดสีกัน หรือหยิบยกปัญหาต่างๆ มากล่าวเพื่อให้ผู้ชมชื่นชอบในการใช้คารมและปฏิภาณของผู้แสดง นับว่าเป็นการให้ความบันเทิง พร้อมทั้งให้ความรู้ สั่งสอนชาวบ้านผู้ชมไปในตัว
ประเพณีการแข่งขันจะมีการประชันระหว่างคณะต่างๆ เพื่อหาคณะที่ชนะเลิศในแต่ละปีที่มีกันมาตั้งแต่ในอดีต การตัดสินแตกต่างจากปัจจุบันเล็กน้อย คือในอดีตจะตัดสินผ่านพลังเสียง ไหวพริบในการโต้ตอบ ในการแสดงลูกคู่จึงนั่งล้อมกันเป็นวงกลม หัวหน้าวงจะอยู่ตรงกลาง การนั่งล้อมวงเพื่อให้เสียงรวมกันจุดเดียว ท่ารำประกอบการแสดงจะไม่หลากหลาย และเนื้อร้องเป็นภาษามลายู ปัจจุบันการแข่งขันจะตัดสินจากท่าทางของลูกคู่ด้วย ดังนั้นจึงต้องปรับรูปแบบในการนั่งเป็นนั่งเรียงหน้ากระดานเพื่อให้ผู้ชมได้ เห็นท่ารำของลูกคู่อย่างชัดเจน ในส่วนของเนื้อร้องได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นภาษาไทยควบคู่ไปกับการร้องเป็น ภาษามลายู
ลักษณะพิเศษของดิเกฮูลู คือหัวหน้าคณะหรือผู้ร้องนำสามารถเดินทางไปแสดงในที่ต่างๆ ในพื้นที่ที่มีคณะดิเกฮูลูได้โดยไม่ต้องมีลูกคู่ไปด้วย เพราะสามารถไปแสดงร่วมกับลูกคู่ของคณะอื่นๆ ได้
แบมะเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเข้ามาแสดงดิเกฮูลูว่า เมื่อสมัยวัยรุ่นได้ไปดูดิเกฮูลูที่มาเล่นในอำเภอยะหา รู้สึกสนใจอยากที่จะเรียนรู้จึงไปขอเรียนจากคณะที่เข้ามาแสดงที่อำเภอ จนกระทั่งมีความรู้เพียงพอที่จะมาแสดงและตั้งวงเป็นของตัวเอง
แบมะได้ปรับรูปแบบการแสดงดิเกฮูลูของตนโดยการนำเพลงลูกทุ่งเข้ามาผสมผสาน ในการร้อง มิได้มีไว้เพื่อความบันเทิงเท่านั้น หากมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการรณรงค์ โดยเนื้อหาในเพลงจะเกี่ยวข้องกับศาสนา สถานการณ์ปัจจุบัน และสอดแทรกข่าวสารจากรัฐบาล เช่น เรื่องคุณธรรมจริยธรรม ความสะอาด โรคเอดส์ ความรักชาติ ความสามัคคี เศรษฐกิจพอเพียง การเลือกตั้ง และภัยร้ายของยาเสพติด เข้าไปในเนื้อหาที่ใช้แสดง
พบว่าการแสดงดิเกฮูลูเป็นอีกสื่อหนึ่งที่สามารถเข้าถึงชาวบ้าน ทั้งยังเป็นตัวช่วยหนึ่งในการเผยแพร่รณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจถึงภัยร้ายต่างๆ และข้อปฏิบัติที่ถูกต้องดังที่กล่าวมาได้เป็นอย่างดี
การแสดงดิเกฮูลู แต่เดิมนิยมแสดงในงานพิธีต่างๆ เช่น มาแกปูโล๊ะ (งานแต่งงาน) พิธีเข้าสุหนัต งานเมาลิด งานฮารีรายอ งานบุญ และแสดงเพื่อแก้บน เป็นการขอพรจากพระอัลลอฮฺโดยผ่านการแสดงดิเก ปัจจุบันยังแสดงในงานเทศกาลต่างๆ ร่วมกับมหรสพอื่นๆ เช่น ในงานพิธีถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น หรือเป็นการแสดงเพื่อมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังเช่นคณะดิเกฮูลูที่กล่าวถึงในงานโฆษณาชุดสำนึกรักบ้านเกิดข้างต้น หรือที่รู้จักกันในนามของดิเกฮูลูคณะแหลมทราย ของนายเจะปอ สะแม แห่งตำบลบางตาวา อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นคณะเครือข่ายเพื่อปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะบริเวณ รอบอ่าวปัตตานี การแสดงจะมีเนื้อหากล่าวถึงวิถีชีวิตของชุมชนประมงชายฝั่ง เช่น ปัญหาเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ การแก้ปัญหาต่างๆ ของประมงพื้นบ้าน และวิถีชีวิตแต่ละวัน
โดยการแสดงออกผ่านท่าทางประกอบและการตบมือ เช่น การใช้มือแสดงท่าทาง โดยการโบกมือกวักมือ หมายถึงเรียกให้กลับบ้านให้มาดูแลทะเลบ้านเรา ท่าทางการตบมือเหมือนปลา เหมือนกับการแสดงให้เห็นถึงการเอาตัวรอดของปลาให้หลุดพ้นจากการตามล่า ทำลายจากระเบิด อวนลาก อวนรุก และท่าทางการตบมือชักเชือก ที่แสดงถึงความร่วมมือ ความสามัคคี โดยใช้เชือก ซึ่งเป็นเครื่องมือจับปลาของชาวประมงพื้นบ้าน เป็นสื่อให้เกิดพลังชุมชน เป็นต้น๕
ปัจจุบันดิเกฮูลูแสดงกันทั่วไปในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา นราธิวาส สงขลา สตูล และปัตตานี

อ้างอิง

๑. http://kanchanapisek,or.th/oncc-cgi/text.cgi?no=3694
๒. http://www.nfe.go.th/95/SouthWay_Dikay.html
๓. ประพนธ์ เรืองณรงค์. บุหงาปัตตานี คติชนไทยมุสลิมชายแดนภาคใต้. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๔๐, หน้า ๑๔๗-๑๕๘.
๔. รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติ และรางวัลที่ได้รับของนายหะมะ แบลือแบ อยู่ใน ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง. เทียนไขเปรียบใช้ตัวเองเพื่อเปล่งแสง. มติชน : กรุงเทพฯ, ๒๕๔๖, หน้า ๑๐๐-๑๐๕. หรือ http://www.thaiwisdom.org/p_pum/tea_pum/sum_south2.htm
๕. http://www.codi.or.th/index.php?option=articles&task=viewarticle&artid=101&Itemid=3

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

มหกรรมวิชาการ เบิกฟ้าวชช.54

มาถึงช่วงเวลาที่พวกเราชาวรอคอยกันแล้วน่ะครับ ที่ทางชช.ยะลาได้จัดมหกรรมวิชาการขึ้นมาภายใต้ชื่อ งานเบิกฟ้า วชช.54 ในฐานะที่ผมเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยชุมชน ก็มีความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมงานในครั้งนี้อย่างไม่พลาด และในที่นี้ผมก็มีวิดีโอการแสดงของผมมาให้ชมกัน ยังงัยก็ช่วยกันแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมด้วยน่ะครับ
(ขอบคุณสำหรับการรับชม)